เทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน (Small-scale laboratory) เป็นวิธีการทดลองวิทยาศาสตร์ที่ใช้อุปกรณ์พลาสติกขนาดเล็กต่าง ๆ รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ใกล้ตัวและหาได้ง่ายในท้องถิ่น ใช้เวลาในการทดลองสั้นลง ประหยัดสารเคมี น้ำ และพลังงาน รวมทั้งลดของเสียเพราะใช้สารเคมีปริมาณน้อยกว่านับพันเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับการทดลองเดียวกันที่ทำแบบปกติ มีความปลอดภัยสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีค่าใช้จ่ายน้อย ใช้งานสะดวก ทำซ้ำได้หลายครั้งอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถทำการทดลองที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีห้องปฏิบัติการมาตรฐานซึ่งต้องลงทุนสูง จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำในการเรียนรู้จากการทดลองวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนทั่วประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้และลงมือทำการทดลองด้วยตนเองทั้งในและนอกชั้นเรียน ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจ เข้าใจ และชื่นชอบในการเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น
โครงการ “ห้องเรียนเคมีดาว” ได้ริเริ่มการส่งเสริมเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2556 โดยมีคุณครูเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 2,000 คน จาก 1,055 โรงเรียน และมีนักเรียนที่มีประสบการณ์การใช้ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนแล้วมากกว่า 3 แสนคน การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายผลการส่งเสริมเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนไปยังโรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศต่อไปในอนาคต โดยในระยะแรกจะนำไปใช้ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. 100 โรงเรียนก่อน
นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “การที่สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ให้ความสนใจส่งเสริมการเรียนการสอนแนวใหม่นี้ จะช่วยให้โรงเรียนจำนวนมากสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ในฐานะผู้ร่วมริเริ่มโครงการห้องเรียนเคมีดาว มีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ สพฐ. เล็งเห็นความสำคัญของการทดลองแบบ “ย่อส่วน” เพื่อ “ขยายโอกาส” ทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยสพฐ. จะเป็นกำลังสำคัญในการขยายผลซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการพัฒนาบุคคลกรด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยในอนาคต”
ศ.ดร. สุภา หารหนองบัว นายกสมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า “สมาคมฯ เป็นผู้ริเริ่มใช้เทคนิคปฏิบัติการทดลองเคมีแบบย่อส่วนในประเทศไทย โดยได้ร่วมกับ Dow ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในด้านการให้องค์ความรู้ การประยุกต์ใช้การทดลองเคมีแบบย่อส่วน มาเสริมการเรียนการสอนในโรงเรียน การส่งเสริมเรียนรู้และทดลองจริงของนักเรียนในโรงเรียน การสร้างเครือข่ายครูต้นแบบเคมีแบบย่อส่วน เพื่อนำไปต่อยอดองค์ความรู้ได้มากขึ้น มีการร่วมกันจัดประกวดโครงงานปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนในแต่ละปีมาตลอด 7 ปี รวมทั้งยกระดับและเผยแพร่กิจกรรมในภูมิภาคอาเซียน โดยความร่วมมือในครั้งนี้ สมาคมฯ จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการ จัดหาบุคลากรผู้ชำนาญที่เหมาะสมกับหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาครูต้นแบบ รวมทั้งยังจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในการประเมินผลการเรียนการสอนตามแนวทางการสอนแบบใหม่ของโครงการฯ”
ดร. อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า “ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลด้านการศึกษา สพฐ.เห็นความสำคัญของการยกระดับการเรียนการสอนสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ การนำเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนมาใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนให้กับครูและนักเรียน สอดคล้องกับหลักสูตรการเรียนการสอนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ผ่านมาได้ทำการวิจัยแสดงผลของชุดการทดลองเคมีแบบย่อส่วน พบว่ามีผลเทียบเท่าห้องแล็ปปกติ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างครบถ้วน เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก ทำให้ลดช่องว่างในวิชาวิทยาศาสตร์ได้อีกทางหนึ่งเพราะนักเรียนจะมีโอกาสลงมือปฏิบัติจริงตามแบบเรียนในหลักสูตรที่กำหนดด้วยตนเอง สอดคล้องกับนโยบายของ สพฐ. ที่ต้องการขับเคลื่อนคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อเพิ่มสมรรถนะผู้เรียน ในศตวรรษที่ 21
“ในปีแรกจะคัดเลือกโรงเรียนเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 100 โรงเรียน พร้อมสนับสนุนค่าชุดทดลอง สารเคมีที่ใช้ในการอบรม ครอบคลุมอย่างน้อย 8 การทดลอง เพื่อให้ครูผู้ร่วมโครงการฯ ได้รับชุดทดลองทั้งหมดไปใช้สอนที่โรงเรียน พร้อมคู่มือการทดลอง และผู้ผ่านการอบรมในโครงการจะได้รับวุฒิบัตรเมื่อผ่านการฝึกอบรม สามารถนำชั่วโมงการอบรมบรรจุในการขอมี หรือเลื่อนวิทยาฐานะของครูผู้สอนต่อไป” นายอัมพร กล่าว
โครงการพัฒนาศักยภาพการเรียนการสอนการทดลองวิทยาศาสตร์ด้วยหลักการของปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา จะเพิ่มโอกาสให้ครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาในสังกัด สพฐ. สามารถนำเทคนิคไปถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนมากขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับนักเรียนได้ทำการทดลองด้วยตนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีใจรักในการศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์ที่มีความก้าวหน้าและเป็นสาขาอาชีพที่ยังต้องการมากของประเทศในขณะนี้ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะในการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต